บทที่ 8 ตอนที่ 8
“ไม่ได้ทำค่ะแม่ พี่สไบมาช่วยเอาไว้ก่อน”
คนเป็นแม่ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก
“โชคดีเหลือเกิน คุณพระคุ้มครองนะม่านลูกแม่”
“คุณพระที่ไหนกันล่ะแม่ สไบกับพวกต่างหากที่ช่วยเอาไว้ ไม่ใช่คุณพระที่ไหนเลย”
พูดได้แค่นั้นสไบนางก็ถูกมารดาตีแรงๆ ที่ต้นแขนอย่างหมั่นไส้
“อย่ามาทำเป็นพูดดีเลย นี่ถ้าแม่เดาไม่ผิด ไอ้คนที่มาก่อเรื่องจะต้องเป็นอริของลูกใช่ไหม สไบนาง”
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะแม่”
ม่านทองโกหกแทนพี่สาว แต่สไบนางไม่ชอบโกหกจึงบอกความจริง
“ใช่ค่ะ ก็ไอ้สามคนที่สไบจับได้ว่ามันเสพยาในไร่นั่นแหละ มันคงแค้นที่โดนไล่ออก เลยกลับมาเล่นงานม่านมัน สไบขอโทษนะแม่”
ความจริงวัตถาก็อยากจะตีสไบนางให้หลาบจำหรอก แต่พอเห็นดวงตาใส่แจ๋วของลูกแล้วก็ตัดใจทำไม่ลง ทำได้แค่ตักเตือน
“คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไรก็ระมัดระวังนะสไบ เห็นไหมว่าการใช้พระเดชอย่างเดียวมันส่งผลร้ายยังไงกับคนรอบข้าง เราเป็นนายเป็นคนที่มีอำนาจเหนือเขาทุกอย่างต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ ลูกน้องถึงจะรักถึงจะเคารพ”
“สไบจะจำไว้ค่ะแม่”
สไบนางก้มหน้างุดอย่างสำนึกผิด
“การที่แม่ยกไร่ส้มของคุณตาให้กับสไบดูแลก็เพราะแม่เห็นว่าสไบชอบต้นไม้ รักการทำเกษตร และที่สำคัญอยากฝึกฝนให้สไบโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เท่าที่แม่เห็น นับวันสไบก็ยิ่งง้องแง้งย้อนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นใจร้อนมากขึ้นทุกที”
“แม่จ๋า... สไบขอโทษ...”
สไบนางน้ำตาซึม อยากจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ก็รู้ดีว่ายิ่งพูดก็ยิ่งยาว และมารดาก็ไม่มีทางจะเข้าใจ
“สไบจะพยายามไม่ทะเลาะกับใครอีก”
“ขอบใจที่พยายามนะสไบ เอาล่ะ ไปอาบน้ำอาบท่ากันได้แล้ว เดี๋ยวพ่อกลับมาจะได้มากินข้าวเย็นกัน”
“ค่ะ แม่”
สองสาวรับคำมารดา ก่อนจะพากันเดินไป
วัตถามองตามร่างอรชรของบุตรสาวทั้งสองคนไปด้วยความเป็นกังวล ม่านทองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่สไบนางนี่สิ ไม่รู้เมื่อไหร่จะโตเสียที
“เอ็งว่ายังไงนะไอ้ส้มจุก”
คนที่กำลังตัดแต่งกิ่งต้นส้มเขียวหวานอยู่ชะงักมือทันที เมื่อได้ยินคำพูดกระซิบกระซาบของลูกสมุนมือขวา
“ผมได้ข่าวมาว่าวันนี้ไอ้เศรษฐีที่ซื้อไร่ส้มต่อจากเสี่ยอ้วนกำลังจะเดินทางมาค้างที่ไร่คืนนี้ครับลูกพี่”
สไบนางวางมือจากงานเบื้องหน้าทันที เพราะตอนนี้มีสิ่งสำคัญกว่าที่จะต้องทำ
“มันจะมากี่โมงเอ็งรู้หรือเปล่า”
ส้มจุกส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับรีบเบี่ยงศีรษะหลบลูกมะเหงกจากสไบนาง
“เอ็งนี่มันไม่ได้เรื่องเลยนะ ใช้ให้ทำงานร้อย ได้มาแค่สิบ มันน่านัก”
“ก็แหมลูกพี่ ผมพยายามแล้วนะครับ แต่แอบเข้าไปในไร่มันไม่ได้เลย”
“เอ็งไม่ต้องมาแก้ตัวเลย”
สไบนางทำเสียงขุ่นใส่ส้มจุกพร้อมกับเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด ไม่นานก็ดีดนิ้วเสียงดังและยิ้มกว้างออกมา
“คิดออกแล้วเหรอครับลูกพี่”
“ใช่” คนเป็นลูกพี่พยักหน้าน้อยๆ ส้มจุกได้ทียิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยถามกลับ
“แล้ววิธีไหนครับลูกพี่”
“เอ็งไม่ต้องมาสู่รู้ แค่ตามข้ามาก็พอ เร็วเข้า”
แล้วสไบนางก็ส่งกรรไกรตัดกิ่งให้กับคนงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะรีบเดินลัดเลาะตรงไปยังท้ายไร่ ส้มจุกมัวแต่ยืนเกาหัวจึงยังไม่ได้วิ่งตามไป นั่นทำให้ถูกคนเป็นนายเอ็ดตะโรลั่น
“ยังจะยืนเซ่ออยู่ได้ รีบตามมาสิไอ้ส้มจุก”
“ครับ... ลูกพี่”
ทันทีที่รถเอ็มพีวีสุดหรูจอดสนิท ราเชนทร์ในชุดสำลองสีเขียวมะฮอกกานีก็ก้าวลงจากรถทันทีโดยไม่รอให้คนขับรถวิ่งมาเปิดประตูรถให้ ร่างสูงเด่นตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของชายผิวคล้ำแดดสามสี่คนที่ยืนค้อมศีรษะอยู่
“ที่นี่ใครเป็นหัวหน้าคนงานหรือ”
“ผมครับ”
สมชายซึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ผิวคล้ำ รีบยกมือ
“ผมชื่อสมชายเป็นคนคุมคนงานทั้งหมดในไร่นี้ครับ”
ราเชนทร์ระบายยิ้มบางๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับน้าสมชาย ผมเชื่อว่าน้าจะเป็นคนสำคัญในการขับเคลื่อนไร่ส้มของเราให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น”
คนฟังยิ้มหน้าบานแฉ่ง
“ยินดีครับคุณราเชนทร์”
“เอาล่ะ ไปทำงานกันได้แล้ว เอ่อ ส่วนน้าสมชายอยู่คุยกับผมก่อน”
คนงานหนุ่มๆ ถูกสมชายส่งสัญญาณให้รีบกลับไปทำงาน ก่อนที่เขาจะขยับเข้ามาใกล้ราเชนทร์เจ้านายใหม่ด้วยท่าทางประจบประแจง
“คุณราเชนทร์มีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ”
“อย่าเรียกว่าใช้เลยครับน้า ผมก็แค่... อยากจะรู้จักไร่ส้มแห่งนี้ให้มากขึ้น น้าพอจะเล่าเรื่องราวภายในไร่นี้ให้ผมฟังได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ ว่าแต่คุณราเชนทร์อยากฟังเรื่องไหนล่ะครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะร่วนขบขัน พลางเดินไปทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนสีขาวลายจุดสีเทาที่ตั้งเอาไว้หน้าตัวบ้านไม้สักหลังใหญ่
“ถามผมแบบนี้ แสดงว่าในไร่ต้องมีเรื่องตื่นเต้นเยอะใช่ไหมครับ”
“ในไร่ของเราก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ผัวคนนู้นกิ๊กคนนี้ แต่นอกไร่น่ะสิครับ จัดว่าเด็ด”
“หือ?”
ราเชนทร์หันมาสบประสานสายตากับคู่สนทนาอย่างสนใจ
“นอกไร่... หมายความว่ายังไงหรือครับ”
สมชายได้ทีก็ระบายในสิ่งที่อัดอั้นในใจมานานแสนนานให้กับเจ้านายใหม่ฟัง คาดหวังว่าราเชนทร์จะอยู่ข้างตัวเอง
“ก็ไร่ข้างๆ น่ะสิครับ”
“ไร่ข้างๆ? ไร่รุจิเรขน่ะหรือ”
“ใช่ครับ ไร่นั่นแหละตัวปัญหา”
ยิ่งได้ฟังราเชนทร์ก็ยิ่งสนใจและตั้งใจฟังเป็นที่สุด เพราะไร่รุจิเรขคือไร่ของวัตถามารดาของม่านทองว่าที่เจ้าสาวของเขานั่นเอง
“มีอะไรอัดอั้นตันใจก็เล่าให้ผมฟังได้นะน้าสมชาย ผมยินดีช่วยเหลือ”
สมชายยิ้มกริ่ม ยกมือขึ้นลูบรอยช้ำที่มุมปากซึ่งเกิดจากฝ่าเท้าของสไบนางด้วยความคลั่งแค้นที่ยังไม่เลือนหาย
“ก็คนไร่นั้นน่ะสิครับ ชอบข้ามมาหาเรื่องคนงานของไร่เรา ผมพยายามเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง”
“ข้ามมาหาเรื่อง? ชกต่อยอะไรกันแบบนี้ใช่หรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
